ปี 2017 นอกเหนือจากจะเป็นปีที่มีนวัตกรรม และเทคโนโลยีเกิดใหม่นับไม่ถ้วนแล้ว ยังเป็นวาระฉลองครบรอบ 55 ปี นับตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง Dr. No หรือหนัง James Bond ภาคแรกได้ถือกำเนิดขึ้นด้วย โดยหากใครที่เคยดูหนังสายลับรหัส 007 มาก่อน คงจะทราบกันเป็นอย่างดีว่า ตัวเอกของเรื่องมักจะได้ใช้แก็ดเจ็ตสุดล้ำระหว่างการทำภารกิจอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ใช่ว่าจะมีอยู่แต่ในจอเงินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะนวัตกรรมหลายชิ้นได้ถูกพัฒนาจนเกิดขึ้นจริงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และภายในวันนี้ทางทีมงานจึงขอโอกาสพาทุกท่านไปรับชม 5 เทคโนโลยีสุดล้ำที่ถอดแบบมาจากหนังสายลับ 007 กันครับ
ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก GPS
ในหนัง 007 ภาคสาม Goldfinger (ออกฉายปี 1964) Jame Bonds ได้ใช้เครื่องมือระบุตำแหน่งเพื่อนำทางไปยังฐานที่ตั้งของศัตรู ซึ่งในปัจจุบันนวัตกรรมดังกล่าวก็ถูกพัฒนาให้เกิดขึ้นจริงแล้ว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ GPS (Global Positioning System) ที่ช่วยระบุพิกัดปัจจุบันของผู้ใช้งาน โดยอาศัยการหาตำแหน่งของดาวเทียมต่างๆ ที่โคจรอยู่รอบโลกนั่นเอง
แต่จริงๆ แล้ว GPS ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ เพราะเมื่อปี 1964 ปีเดียวกับที่ภาพยนตร์ Goldfinger ออกฉาย ก็ได้มีการพัฒนา TRANSIT ระบบนำทางด้วยดาวเทียมขึ้น และเริ่มใช้แบบลับๆ ในทางทหารเป็นที่เรียบร้อย แต่กว่าที่ GPS จะถูกพัฒนาจนประสบความสำเร็จต้องรอถึงช่วงปี 1990 เลยทีเดียว และได้มีการนำมาใช้ในวงกว้างนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
Jet Pack ไอพ่นติดหลัง
ในภาค Thunderball (ออกฉายปี 1965) สายลับของเรื่องอย่าง James Bond ได้หลบหนีจากการโจมตีขององค์กร SPECTRE ด้วยอุปกรณ์สุดล้ำอย่างไอพ่นติดหลัง ที่ทำให้ James Bond สามารถเหินเวหาได้อย่างน่าประทับใจ แต่กว่าที่เทคโนโลยีดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริง ต้องรอเวลาล่วงเลยถึงปี 2008 จากฝีมือของบริษัทแดนจิงโจ้อย่าง Martin Aircarft Company ที่ได้จดสิทธิบัตรนวัตกรรม Martin Jetpack พร้อมสาธิตการบินของจริงให้เห็นเป็นที่เรียบร้อย
แม้ว่า Martin Jetpack จะสามารถพามนุษย์ลอยขึ้นจากพื้น จนหลายคนฝันนำไปบินเล่นกันแล้ว แต่ทางผู้พัฒนาได้ออกแบบมาสำหรับภารกิจช่วยเหลือ รวมถึงการนำไปใช้พื้นที่ที่เข้าถึงยาก เช่น ห้วย หรือสันเขา โดยเฉพาะ แต่อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใดที่อนุญาตให้นำ Jet Pack ไปใช้ในภารกิจช่วยเหลือได้
รถยนต์ที่สามารถควบคุมผ่านสมาร์ทโฟน
ในภาค Tomorrow Never Dies (ออกฉายปี 1997) สายลับรหัส 007 ที่รับบทโดย Pierce Brosnan ได้บังคับพวงมาลัยของเจ้า BWM750 ผ่านมือถือขณะที่เจ้าตัวนั่งเบาะหลัง ซึ่งในปี 2015 นวัตกรรมดังกล่าวก็ได้มีโอกาสออกมาจากจอเงินแล้ว หลัง Jaguar แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดัง ได้เผยโฉม Range Rover Sport ตัวต้นแบบ ที่ผู้ใช้สามารถควบคุมรถได้โดยตรงผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน
อย่างไรก็ดี นวัตกรรมชิ้นนี้ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เนื่องจากมันสามารถควบคุมผ่านสมาร์ทโฟนได้ในระยะเพียง 10 เมตรเท่านั้น และผู้ใช้สามารถเร่งความเร็วได้สูงสุดเพียง 10 กม. / ชม. เนื่องด้วยมาตรการด้านความปลอดภัย ซึ่งนับว่าต่างจากสิ่งที่เห็นในหนัง James Bond พอสมควร อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีดังกล่าวใช่ว่าจะมาแทนที่การบังคับรถด้วยมือโดยสิ้นเชิง เพราะตัวแอปถูกออกแบบมาเพื่อให้บังคับรถได้สะดวกขึ้นในบางสถานการณ์เท่านั้น เช่น การจอดรถในพื้นที่จำกัด ที่คนขับไม่สามารถเปิดประตูลงจากรถได้ เป็นต้น
มือถือที่แปลงร่างเป็นเครื่องช็อตไฟฟ้า
ยังอยู่ที่ภาค Tomorrow Never Dies ซึ่งฉากที่น่าสนใจของภาคนี้ คือการที่ James Bond ได้ในำมือถือที่สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าได้ ไปช็อตระบบป้องกันความปลอดภัย จนสามารถเข้าถึงพื้นที่ต้องห้ามได้สำเร็จ ซึ่งใครจะเชื่อว่าอีก 3 ทศวรรษต่อมา แก็ดเจ็ตลักษณะดังกล่าวได้ถูกสร้างขึ้นจริงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ใช่มือถือเหมือนในหนัง เพราะมันคือ Yellow Jacket Smartphone Stun Gun Case เคสมือถือที่สามารถใช้งานเป็นเครื่องช็อตไฟฟ้าได้ โดยตัวเคสมาพร้อมกับประจุไฟฟ้า 650-kilovolt ซึ่งสามารถใช้งานเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวจากมิจฉาชีพได้เป็นอย่างดี
แนวคิดเคส Yellow Jacket ได้ถูกจุดประกายขึ้นโดย Seth Froom หลังเจ้าตัวเคยประสบเหตุการณ์โจรบุกปล้นบ้านเมื่อปี 2012 จึงทำให้เกิดการคิดค้นและพัฒนา Yellow Jacket เป็นอาวุธป้องกันตัวคู่กาย ซึ่งหากใครที่สนใจอยากเป็นเจ้าของบ้าง ก็สามารถแวะไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ผู้พัฒนาได้ที่นี่ https://yellowjacketcase.com
โต๊ะทัชสกรีน
ถ้าใครยังจำกันได้ ในภาค Quantum of Solace (ออกฉายปี 2008) ฉากที่ James Bond ได้เข้าไปพบกับหน่วยสืบราชการลับอังกฤษ MI6 มีโต๊ะสุดล้ำตัวหนึ่งที่พื้นผิวสามารถทัชสกรีนได้ด้วย โดย MI6 ใช้โต๊ะตัวนี้เองเพื่อแสดงข้อมูลของผู้ต้องสงสัย และยังใช้สำหรับวางแผนเพื่อทำภารกิจ โดยโต๊ะสุดล้ำตัวนี้ ถอดแบบมาจากนวัตกรรม Microsoft Surface (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น PixelSense) ที่ค่ายยักษ์ใหญ่ Microsoft กำลังพัฒนาอยู่ในช่วงเวลานั้น
โปรเจ็กต์ Microsoft Surface จุดประกายขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2001 โดยทีมพัฒนากลุ่มหนึ่งของบริษัท Microsoft และเริ่มการสร้างตัวต้นแบบให้เห็นในปี 2003 โดยตัวต้นแบบของ Microsoft Surface นั้น ถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว เพราะแม้ว่ามันถูกสร้างขึ้นบนโต๊ะของ IKEA ธรรมดาๆ แต่กลับมาพร้อมกับความสามารถสุดล้ำเป็นที่เรียบร้อย เช่น ระบบสัมผัส, รองรับการใช้งานพร้อมกันหลายบุคคล รวมถึงระบบจดจำวัตถุ และ Microsoft Surface ก็ได้เริ่มวางจำหน่ายจริงเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2008 ในชื่อ Microsoft Surface 1.0