รีวิว : Vivo S1 Pro สมาร์ตโฟน 4 กล้องหลัง ดีไซน์เด่น แบตอึด ตอบโจทย์ได้ครบ จบในเครื่องเดียว !!!





หากเคยประทับใจกับ Vivo S1 สมาร์ตโฟนซีรีส์น้องใหม่ ที่มีความโดดเด่นในด้านดีไซน์และสเปคจัดเต็ม แต่เคาะราคาเปิดตัวที่ใคร ๆ ก็สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ง่าย ๆ  เชื่อว่าจะตกหลุมรัก Vivo S1 Pro ที่ถือว่าเป็นรุ่นต่อยอดกันอย่างแน่นอน
โดย Vivo S1 Pro ยังคงสืบทอด DNA มาจากรุ่นพี่อย่างครบถ้วน ทั้งเรื่องดีไซน์ หรูหรา พรีเมี่ยม สเปคอัดแน่น กล้องถ่ายสวยในทุกระยะ แถมยังอัพเกรดคุณสมบัติทางด้าน Hardware ให้ดีขึ้นจากรุ่นพี่ S1 ทั้งในส่วนของตัวชิปเซ็ต และกล้องหลังที่รอบนี้จัดเต็มแบบ 4 เลนส์ ส่วนสนนราคาค่าตัวที่เคาะออกมาก็ยังถือว่าสมเหตุสมผลอีกด้วย

บรรจุภัณฑ์ / อุปกรณ์ภายในกล่อง


กล่องแพ็กเกจด้านหน้าโชว์ตัว S สีสันสดใสขนาดใหญ่ตามสไตล์ของซีรีส์ S พร้อมมีการกำกับชื่อรุ่น / ขนาดความจุ RAM และ ROM อยู่มุมขวาด้านบน
ด้านหลังหลังมีไอคอนสเปคเด่น ทั้งในเรื่องกล้องหลัง 4 เลนส์  กล้องหน้าเซลฟี 32 ล้านพิกเซล และระบบสแกนลายนิ้วมือในจอแสดงผล (In-Display Fingerprint Scannin ) รวมถึงรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Dual Engine Fast Charge (9V2A)
อุปกรณ์ภายในกล่องประกอบไปด้วย
1. อแดปเตอร์ชาร์จไฟ OUTPUT 5V – 2A / 9V – 2A รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 18W
2. หูฟังสมอลทอร์ค
3. สายดาต้าลิงค์แบบ Type-C
4. เคสซิลิโคนแบบใส
5. อุปกรณ์เปิดถาด SIM Card
6. ใบรับประกัน, และคู่มือการใช้งาน
สำหรับฟิล์มกันรอยได้มีการติดมาให้เรียบร้อยแล้วจากโรงงาน

รูปลักษณ์ดีไซน์ / การออกแบบ


ซีรีส์ S มีความโดดเด่นด้านดีไซน์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และรอบนี้ยังได้มีการยกเครื่องด้านดีไซน์ขึ้นไปอีกขั้น โดยยังคงมาพร้อมหน้าจอ Halo FullView Display ที่มี Notch หรือรอยบากบนหน้าจอที่เล็กมาก ๆ ทำให้มีพื้นที่แสดงผลต่ออัตราส่วนตัวเครื่องสูงถึง 90% ส่วนด้านหลังตัวเครื่องสวยสะกดทุกสายตา ด้วยการออกแบบโมดูลกล้องหลังแบบ Diamond หรือทรงข้าวหลามตัด พร้อมคาดด้วยเส้นสีแดงที่ยิ่งช่วยขับเน้นให้ S1 Pro ดูโดดเด่นสะดุดตามากยิ่งขึ้น
สำหรับวัสดุในภาพรวมเป็นโพลีคาร์บอเนต ผสาน Aluminium ในแบบ Unibody ที่มีความเพียวบาง และมี curve ที่สมดุลทั้ง 4 มุม ส่งผลให้สามารถจับถือได้ถนัด ไม่ลื่นหลุดมือได้โดยง่าย
ในส่วนของตัวฝาหลังยังคงเป็นแบบกลอสซี่ ที่มีความเงางาม โดยผ่านกระบวนการเคลือบสีในชั้นเลเยอร์ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้มองเท็กเจอร์เส้นสายภายใน และความพริ้วไหวยามเมื่อแสงตกกระทบกับตัวเครื่อง ซึ่งเมื่อได้ลองสัมผัสตัวเครื่องจริงแล้วตัวฝาหลังมีฟิลลิ่งที่ดูคล้ายกระจกพร้อมให้ความรู้สึกหรูหราพรีเมี่ยมอีกด้วย
หน้าจอ Halo FullView Display แบบ Super AMOLED มี Notch หรือรอยบากในรูปทรงหยดน้ำขนาดเล็กที่ช่วยให้หน้าจอมีความสมดุลและดูสบายตา โดยมาพร้อมขนาดหน้าจอที่ใหญ่เต็มตาถึง 6.38 นิ้ว บนความละเอียด FHD+ (1080 x 2340 pixels) ในอัตราส่วน 19.5:9 และโดดเด่นด้วยสัดส่วนระหว่างหน้าจอต่อตัวเครื่องที่สูงถึง 90% เลยทีเดียว
ลำโพงสนทนามาในรูปทรงแนวยาวพร้อมจัดวางไว้บนพื้นที่ของขอบจอได้อย่างลงตัว ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซลจัดวางอยู่ในเลย์เอาท์ของรอยบากรูปทรงหยดน้ำ ส่วนเซ็นเซอร์วัดแสงจะอยู่ที่มุมขอบจอทางด้านซ้าย
ด้านบนจะมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ไมค์ตัดเสียงรบกวนและทำหน้าที่เป็นไมค์บันทึกเสียง สำหรับด้านล่างประกอบไปด้วย ไมค์สนทนา / พอร์ต Type- C และลำโพงหลักของตัวเครื่อง
ฝั่งขวาด้านบนจะเป็นปุ่มเพิ่ม/ลดระดับเสียง ถัดลงมาคือปุ่มพาวเวอร์ที่ตัดด้วยสีแดง ที่ช่วยขับเน้นให้ดีไซน์ในภาพรวมของ S1 Pro มีความโดดเด่นรอบด้านอย่างแท้จริง
สำหรับฝั่งซ้ายด้านบนจะเป็นที่อยู่ของช่องถาดซิมการ์ด
ตัวถาดซิมการ์ดเป็นแบบไฮบริด ซิม ที่ต้องเลือกระหว่างใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด หรือ 1 ซิม + หน่วยความจำภายนอก Micro SD Card โดยสามารถรองรับได้สูงสุดที่ 256GB
กล้องหลัง: 4 เลนส์ AI Quad Camera 
สำหรับกล้องหลักใช้เซนเซอร์คุณภาพสูง GM1 โดยมี physical pixel points 48 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง f/1.8 ช่วยให้ถ่ายภาพได้สวยคมชัดทุกสภาพแสง  สำหรับกล้องตัวที่สอง ทำหน้าที่ถ่ายภาพมุมกว้างพิเศษ super wide-angle 120 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 และกล้องตัวที่สาม deep sensor ที่ช่วยในการถ่ายภาพ portrait หน้าชัดหลังเบลอและสร้าง Bokeh โดยมีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 สุดท้ายเป็นเลนส์ Macro เพื่อการถ่ายภาพระยะใกล้ ที่ความละเอียดมา 2 ล้านพิกเซล พร้อมค่ารูรับแสง f/2.4 
ตัวกล้องจัดวางเลย์เอาท์ในโมดูลแบบข้าวหลามตัด พร้อมคาดด้วยเส้นสีแดงที่ยิ่งช่วยขับเน้นให้ S1 Pro ดูโดดเด่นสะดุดตามากยิ่งขึ้น

ไฮไลท์ฟีเจอร์เด่นบน Vivo S1 Pro


ยังคงสืบทอด DNA ที่เป็นจุดเด่นของ S1 ด้วยการใส่นวัตกรรมอันล้ำสมัยอย่าง In-Display Fingerprint Scanning หรือการฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ภายในจอแสดงผลมาให้ใช้งาน ซึ่งจากการได้ทดสอบจริง พบว่าทำงานได้รวดเร็วแม่นยำมาก ๆ เรียกว่าแทบไม่เห็นความแตกต่างจากรุ่นพี่แต่อย่างใด
สำหรับฟีเจอร์ In-Display Fingerprint Scanning บน Vivo S1 Pro รองรับการบันทึกลายนิ้วมือได้สูงสุดที่ 5 ลายนิ้ว และนอกจากนี้ยังมี Effect ในขณะปลดล็อกหน้าจอที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 6 รูปแบบ ซึ่งจะช่วยเสริมให้ขณะใช้งานดูมีความน่าตื่นตาตื่นใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ส่วนระบบ Face Unlock บน Vivo S1 Pro มีความรวดเร็วแม่นยำ ไม่แพ้ระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ โดยใช้เวลาไม่ถึง 0.60 วินาที และยังทำงานได้ดีแม้ในที่แสงน้อยหรือในที่มืดได้โดยไม่มีปัญหา อีกทั้งยังสามารถใช้งานร่วมกับระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือได้เป็นอย่างดี ทำให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการปลดล็อกที่ผสานทั้ง 2 ระบบเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

Halo FullView™ Display


Vivo S1 Pro โดดเด่นด้วยจอแสดงผล Halo FullView™ Display ที่เลือกใช้พาเนล Super AMOLED 16 ล้านสี ที่ให้สีสันสว่างสดใส มีความคมชัด สามารถแสดงขอบเขตสีได้สมจริงแม่นยำ มี Respond การตอบสนองที่อยู่ในเกณฑ์น่าประทับใจ และมี Software ที่ช่วยปรับแต่งการแสดงผลได้อย่างยืดหยุ่น อีกทั้งยังมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่เต็มตาถึง 6.38 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9  โดยมีสัดส่วนระหว่างหน้าจอกับตัวเครื่องสูงถึง 90% อีกทั้งยังมาพร้อม Notch หรือรอยบากในรูปทรงหยดน้ำในขนาดที่เล็กมาก ๆ  เมื่อผสานกับขอบจอที่บางเฉียบ จึงส่งผลให้การรับชมคอนเทนต์อย่าง YouTube, Netflix รวมไปถึงการเล่นเกมได้เต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น

Always On Display


Vivo S1 Pro มาพร้อมกับฟังก์ชั่นพิเศษ Always On Display ที่ใช้พลังงานต่ำ จากคุณสมบัติพิเศษ Self-illuminating ของจอ Super AMOLED ทำให้เราไม่พลาดในการดูแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ในรูปแบบเรียลไทม์
และนอกจากจะทำให้การดูเวลากับการแจ้งเตือนของแอปพลิเคชันต่าง ๆ มีความสะดวกคล่องตัวมากยิ่งขึ้นแล้ว ผู้ใช้งานยังปรับแต่งรูปแบบการแสดงผลของนาฬิกา, แบล็คกราวน์และสี แถมยังสามารถดาวน์โหลดรูปแบบใหม่ ๆ มาใช้งานได้อีกด้วย

Ultra-Game Mode


“Ultra-Game Mode” บน Vivo S1 Pro มาพร้อมกับฟังก์ชันใหม่ Multi-Turbo เหมือนกับรุ่นพี่ที่ได้เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้านั้น สำหรับ Ultra-Game Mode ได้ถูกออกแบบมาเพื่อความสนุกในการเล่นเกมขั้นสุด สามารถเล่น E-sports ได้อย่างมืออาชีพโดยใช้ Competition Mode เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมได้ดียิ่งขึ้น และ Dual-Turbo โหมดที่สามารถตอบโจทย์เหล่านักเกมเมอร์ที่ต้องการประสิทธิสูงสุดในขณะเล่นเกม โดยโหมดนี้จะช่วยเพิ่มความเร็วของเกม และลดปัญหาเฟรมเรตตก ทำให้เล่นเกมได้อย่างไหลลื่นไม่มีสะดุดติดขัดให้หงุดหงิดใจ
นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่อย่าง Game Countdown ที่สามารถเตือนถึงเวลาที่เหลือก่อนที่เกมจะเริ่ม เพื่อช่วยให้เราเตรียมตัวหรือสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้นในขณะรอเกมจะรันขึ้นนั่นเอง
และโหมดล่าสุด 4D Vibration ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์สั่นสะเทือน ส่งผลให้การเล่นเกมต่อสู้ได้ดุเดือด มีความสมจริง เช่นการสั่นตอบสนองในเวลาที่ยิงปืน หรือการชน การกระแทกเป็นต้น

Voice Changer ฟังก์ชันเปลี่ยนเสียงในเกม ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกเอฟเฟกต์เสียงตัวละครที่หลากหลายระหว่างเล่นเกมกับเพื่อนร่วมทีม โดยเปลี่ยนเป็นเสียงย่านต่ำ หรือเสียงที่ให้ความตลกขบขัน ทำให้การสนทนาระหว่างการเล่นเกมนั้นสนุกสนาน และมีสีสันมากยิ่งขึ้น

Game Center เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ โดยเป็นศูนย์รวมของเกมที่น่าสนใจ มีการแบ่งหมวดหมู่ไว้อย่างชัดเจน ทำให้ง่ายต่อการค้นหาและดาวน์โหลด นอกจากนี้ยังมาพร้อมความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลสำคัญในระหว่างการเล่นเกม เช่น ดูข้อมูล CPU อุณหภูมิ และปริมาณข้อมูลการใช้งาน โดยทำงานร่วมกับ Ultra Game Mode ที่สามารถปิดข้อความ และการแจ้งเตือนต่าง ๆ ในขณะเล่นเกม ให้คุณสามารถมุ่งเน้นไปกับการเล่นเกมได้อย่างเต็มที่

Dual-Engine Fast Charging


Vivo S1 Pro มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 4,500mAh ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างยาวนานครบวัน แถมยังมีระบบชาร์จไวด้วยเทคโนโลยี Dual-Engine Fast Charging ที่ใช้เวลาเพียง 15 นาที สามารถชาร์จได้ถึง 24% พร้อมระบบป้องกันความปลอดภัยถึง 9 ชั้น ซึ่งถือว่าชาร์จได้ไวและมีความปลอดภัยที่น่าประทับใจมาก ๆ
ทั้งนี้ควรใช้สาย Micro USB และอแดปเตอร์ชาร์จที่ให้มาในกล่อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและได้ประสิทธิภาพสูงสุดครับ

ซอฟต์แวร์และฟีเจอร์


Vivo S1 Pro รันบนระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ที่ครอบทับด้วย Funtouch OS 9.2 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด ในภาพรวมไม่ได้ปรับเปลี่ยน UI แต่มีการย้ายเมนูบางส่วนเล็กน้อย แต่ยังเน้นประสบการณ์ใช้งานที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความสะดวกคล่องตัวเหมือนเช่นเคย อีกทั้งผู้ใช้งานสามารถปรับเปลี่ยนธีม หรือภาพพื้นหลังรวมถึงรูปแบบตัวอักษรได้ตามใจชอบ รวมทั้งสามารถเข้าถึงทางลัดการใช้งานด่วนผ่านทาง Jovi AI Engine ผู้ช่วยอันชาญฉลาด พร้อมทั้งตั้งค่ารูปแบบ Home Screen ได้อย่างยืดหยุ่น

Dark Mode ฟีเจอร์ใหม่ที่จะช่วยให้การใช้งานในตอนกลางคืนเป็นไปอย่างราบลื่น และส่งผลดีต่อสุขภาพดวงตาของของผู้ใช้งาน โดยฟีเจอร์ Dark Mode หลักการทำงานจะเปลี่ยนพื้นหลังให้เป็นสีดำ เพื่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมในที่แสงน้อยได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งช่วยทั้งเรื่องของการประหยัดพลังงาน พร้อมถนอมสายตา และก่อให้เกิดความผ่อนคลายแก่ผู้ใช้งานอีกทางหนึ่งด้วย
(Dark Mode สามารถใช้งานได้กับบางแอปฯ)

Vivo S1 Pro มาพร้อมฟีเจอร์ด้าน Network และการโทรที่มีความโดดเด่นด้วยการรองรับเทคโนโลยี Full Netcom 4.0 ทำให้สามารถสามารถจับสัญญาณ 4G/3G ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม รวมไปถึงยังรองรับการโทรผ่าน Wi-Fi และ Dual VoLTE ที่สามารถเปิด VoLTE ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม ทำให้การโทรผ่านสัญญาณที่มีความเร็วสูงบนคลื่น 4G  มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้งานด้านการโทรควบคู่ไปกับการใช้งาน Data ได้อย่างราบลื่นอีกด้วย
ฟีเจอร์อื่น ๆ ในด้านการโทรที่ให้มาก็ถือว่าครบถ้วนและมีประโยชน์ในการใช้งานจริงของชีวิตประจำวัน เช่นฟีเจอร์บล็อคสาย บล็อคข้อความ ได้ตามที่ต้องการ อีกทั้งยังสามารถบันทึกสายขณะโทรได้โดยตรง ไม่ต้องลงแอปเพิ่มเติมแต่อย่างใด

สำหรับปุ่มนำทาง สามารถปรับตั้งค่าให้เหมาะกับความถนัดของเราได้ตามที่ต้องการ นอกจากนี้ยังมี Full Screen gesture ที่มาพร้อมฟีเจอร์สั่งการง่าย ๆ และสามารถใช้งานจอแสดงผลได้แบบเต็ม 100%
โดย Navigation gestures เป็นฟีเจอร์ที่ใช้การสไลด์นิ้วบนหน้าจอแสดงผลแทนการกดปุ่ม navigation เพื่อให้เหลือพื้นที่การใช้งานที่มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าจะใช้รูปแบบการสั่งการแบบไหน เช่นการลากจากขอบด้านล่างจากตำแหน่งตรงกลาง เพื่อกลับไปที่หน้าโฮม ซึ่งก็เหมือนการกดที่ปุ่มโฮมนั่นเอง

โหมดใช้งานมือเดียวและการจับภาพหน้าจอที่มีความหลากหลาย สำหรับการจับภาพหน้าจอก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์พิเศษของ Vivo โดยสามารถจับภาพหน้าจอได้ยืดหยุ่นมาก ๆ ทั้งการลาก 3 นิ้วขึ้นไปจากหน้าจอแสดงผล
รวมไปถึงการจับภาพหน้าจอแบบยาวๆ หรือรูปแบบอิสระ อีกทั้งยังบันทึกหน้าจอในรูปแบบของวีดีโอได้อีกด้วย และอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ขาดไม่ได้ก็คือแอพโคลน ที่รองรับการใช้งานแอปพลิเคชั่นโซเชียลยอดนิยม เช่น Line, Facebook หรือ Instagram ได้พร้อม ๆ กันถึง 2 แอคเคาท์ในเครื่องเดียว

ฟีเจอร์ยอดนิยมของสมาร์ตโฟนในยุคนี้ ต้องมีการแบ่งหน้าต่างเพื่อใช้งาน 2 แอปพลิเคชั่นไปพร้อม ๆ กัน เช่นแชทไปด้วยด้วยพร้อมดู YouTube ในขณะเดียวกัน
ซึ่งบน Vivo S1 Pro นั้นเรียกใช้งานการแบ่งหน้าจอได้ง่าย ๆ เพียงลาก 3 นิ้วจากด้านบนลงไปยังด้านล่าง ก็จะสามารถใช้งาน 2 แอปฯในหนึ่งหน้าจอได้ในทันที

โหมดการใช้งานอัจฉริยะ เป็นฟีเจอร์ที่มีให้ใช้งานมาอย่างยาวนานบนสมาร์ตโฟนของ Vivo ซึ่งฟีเจอร์เหล่านี้ก็คือการทำงานร่วมกับพวกเซ็นเซอร์ต่าง ๆ โดยเป็นการอำนวยความสะดวกในการใช้งานเป็นหลัก เช่น วาดตัวอักษรบนหน้าจอเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชั่น, ปลดล็อคด้วยการโบกมือผ่านหน้าจอ การแจ้งเตือน การรับสายหรือเปลี่ยนเป็นโหมดแฮนด์ฟรีอัตโนมัติ ฯลฯ

โหมดมอเตอร์ไซค์และโหมดสำหรับเด็ก , ไลฟ์สไตล์ดิจิทัลและการควบคุมโดยผู้ปกครอง เป็นโหมดที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจจาก Vivo ไปยังลูกค้าหรือผู้ใช้งานอย่างแท้จริง  ยกตัวอย่าง โหมดเด็กเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคมทุกวันนี้ ที่เด็กเล็กบางกลุ่มสุ่มเสียงที่จะมีสมาธิสั้น อารมณ์ร้อนและมีพฤติกรรมก้าวร้าวจากการติดเกม ติดโทรศัพท์, Tablet ของผู้ปกครองนั่นเอง
ส่วนโหมดมอเตอร์ไซค์ตรงนี้แม้จะขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานเป็นหลักที่จะเลือกปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของความปลอดภัยหรือไม่ ทั้งการสวมใส่หมวกกันน็อค การปฏิบัติตามกฎจราจร ฯลฯ  แต่ก็ถือว่าเป็นการสร้างสรรค์ในเชิงบวกที่น่าชื่นชมมากๆ ครับ

ฟีเจอร์ในด้านความปลอดภัย Vivo S1 Pro มาพร้อมฟีเจอร์ที่ช่วยป้องการใช้งานในภาพรวมได้อย่างคลอบคลุม ทั้งข้อมูลส่วนตัวการเข้ารหัสแอป ตู้เซลไฟล์ การล็อคซิมการ์ด และฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมายที่สามารถปรับตั้งค่าได้อย่างยืดหยุ่น ทำให้ผู้ใช้งานอุ่นใจและมีความปลอดภัยสูงสุด

ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพและปลอดภัย ด้วยผู้ช่วยอัฉริยะ i-Manager ที่มาพร้อมความสามารถครบครัน ทั้งสแกนไวรัส ลบไฟล์ขยะ ระบายความร้อน สำรองข้อมูลและจัดการด้านพลังงาน

ในภาพรวม Vivo S1 Pro มีการจัดสรรพลังงานได้น่าประทับใจมาก ถ้าเป็นการใช้งานทั่วไปสามารถใช้งานได้ครบวันแบบสบาย ๆ ส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้แบตเตอรี่ความจุมหาศาลถึง 4,500mAh ทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนาน รวมถึง Firmware ที่ปรับแต่งมาให้สามารถจัดสรรพลังงานได้อย่างเหมาะสม ส่วนถ้าใครเน้นเล่นเกมหรือใช้งานหนัก ๆ ก็ไม่ต้องซีเรียสครับ เพราะ Vivo S1 Pro รองรับชาร์จไวด้วยเทคโนโลยี Dual-Engine Fast Charging ที่ใช้เวลาเพียง 15 นาที สามารถชาร์จได้ถึง 24% เลยทีเดียว

ประสิทธิภาพ


 

Vivo S1 Pro ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Qualcomm SDM665 Snapdragon 665 บนสถาปัตยกรรม 11 นาโนเมตร ประมวลผล ประมวลผล Octa-core (4×2.0 GHz Kryo 260 Gold & 4×1.8 GHz Kryo 260 Silver) เมื่อทำงานร่วมกับ RAM 8GB แบบ LPDDR4X จึงส่งผลให้สามารถรีดประสิทธิภาพออกมาได้อย่างเต็มศักยภาพ และเมื่อดูจากผลคะแนนแล้วจะเห็นว่า Vivo S1 Pro นั้แรงขึ้นจากรุ่นพี่ S1 แบบสัมผัสได้
ส่วนในแง่การใช้งานจริงถือว่าเป็นรุ่นกลาง ๆ ที่มาพร้อมความลื่นไหล และความแรงในระดับที่นำไปใช้งานทั่วไปและเล่นเกมได้แบบสบาย ๆ  สำหรับเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ก็ให้มาอย่างครบถ้วน อาทิ  Gyroscope, Magnetic,  Accelerometer ในส่วนของภาครับสัญญาณ GPS ก็มีความเร็วและความแม่นยำอยู่ในเกณฑ์ที่น่าประทับใจ

มัลติมีเดียและความบันเทิง


ยุคนี้อาจจะไม่ค่อยเห็นสมาร์ทโฟนใส่ FM มาให้ใช้งาน แต่ทางค่าย Vivo  ยังเล็งเห็นความสำคัญของกลุ่มผู้ใช้งานที่ยังชื่นชอบการรับฟังวิทยุ FM จึงไม่แปลกใจที่หลาย ๆ รุ่นยังคงมาพร้อมกับ FM ซึ่งบน Vivo S1 Pro เป็น FM แบบทศนิยมหนึ่งจุด ทีมีภาครับสัญญาณถือว่าคมชัดใช้ได้เลย ส่วนฟีเจอร์ก็ให้มาอย่างครบถ้วน เช่นการบันทึกไว้ฟังในแบบออฟไลน์ภายหลังเป็นต้น

Music Player มาพร้อมจุดเด่นด้าน Software ด้วยฟีเจอร์ DeepField เอฟเฟ็กต์เสียงที่พัฒนาโดย Vivo ทำให้เสียงที่ได้มีความนุ่มลึก คมชัดใสเคลียร์ รองรับการจำลองระบบเสียงรอบทิศทาง 360 องศา อีกทั้งยังปรับแต่งเสียงผ่าน EQ ได้ยืดหยุ่นและตรงใจผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น สำหรับคนที่ชื่นชอบการฟังเพลง Vivo S1 Pro นั้นไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน
Video Player บน Vivo S1 Pro รองรับการเล่นไฟล์วีดีโอความละเอียด 4K ได้อย่างไหลลื่น แถมยังมีฟีเจอร์ที่ให้ฟิลลิ่งใกล้เคียงกับแอปชื่อดังอย่าง MX Player เช่นการปัดบนหน้าจอฝั่งซ้ายเพื่อปรับระดับความสว่าง และปัดบนหน้าจอฝั่งขวาเพื่อปรับเพิ่ม/ลดระดับเสียงเป็นต้น

ทดสอบการเล่นเกม


ROV สามารถเล่นบนเฟรมเรทสูงได้ โดยสามารถรักษาความ stable ไว้ที่ระดับ 58-60fps แบบต่อเนื่อง เพราะด้วยสเปคที่แรงขึ้นทั้งในส่วนของชิปเซ็ทและ RAM ที่ให้มาถึง 8GB ส่งผลให้ในภาพรวมถือว่าดีขึ้นจาก S1 แบบสัมผัสได้จริง

 

PUBG ตั้งค่าเริ่มต้นตามที่เกมแนะนำ จะส่งผลให้การเล่นเกมมีความเสถียรและสมูทลื่นไหลที่ดีมาก ไม่พบอาการแลค หน่วง หรือสะดุดให้หงุดหงิดใจแต่อย่างใด

ปิดท้ายกันด้วยเกมสุดฮอตของชั่วโมงนี้ Call of Duty Mobile โดยใช้ค่าในระดับ High พบว่าสามารถเล่นได้แบบไหลลื่นสมูทสุด ๆ  ซึ่งไม่พบอาการแลคหรือหน่วงให้เห็น ส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้กับ Firmware ที่ปรับแต่งมาเป็นอย่างดี รวมถึงฟีเจอร์ Ultra-Game Mode ที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะให้เหมาะสมกับการเล่นเกมได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ Vivo S1 Pro เป็นสมาร์ทโฟนที่ตอบสนองการเล่นเกมได้อย่างดีเยี่ยมในราคาที่จับต้องได้

ทดสอบกล้องหน้า/หลัง


User Interface  หรือหน้าตาเมนูกล้อง มีการปรับเลย์เอาท์ใหม่ ให้ความใกล้เคียงกับรุ่นพี่ Vivo V17Pro โดยมุมขวาบนของเมนูกล้องจะแสดงไอคอนรูปม่านชัตเตอร์ ซึ่งตรงนี้จะเป็นเมนูทางลัดเพื่อเข้าถึงโหมด Ultra wide angle, Bokeh, และ Super macro
ส่วนด้านบนของเมนูจะเป็นไอคอนที่เข้าถึงฟีเจอร์ต่าง ๆ ของกล้อง อาทิเช่น เปิด/ปิดการใช้งานแฟลช, โหมด HDR, Filter-Portrait light effect, อัตราส่วนของภาพ และการตั้งค่าโดยรวมของกล้อง

ในส่วนการตั้งค่าหลักจะเน้นไปที่การอำนวยความสะดวกในการใช้งาน อาทิเช่น ตัวจับเวลา, การสั่งถ่ายด้วยวิธีแตะหน้าจอ, ถ่ายด้วยคำสังเสียง และฝ่ามือ, เลือกพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่ต้องการบันทึก, การใส่ลายน้ำ, ปิดเสียงชัตเตอร์, ระบุ GPS, ตารางจุดตัด,  AI Portrait Framing เป็นต้น

กล้องหน้าให้ความละเอียดมาที่ 32 ล้านพิกเซล และมีค่ารูรับแสงกว้าง f/2.0 ซึ่งช่วยให้ถ่ายภาพได้ดีในทุกสภาพแสง ส่วนฟีเจอร์ในภาพรวมยังคงอัดแน่น ไม่ว่าจะเป็น Portrait light effect , AR Stickers, AI Filter, AI Face Beauty ที่สามารถใช้ความฉลาดจาก AI มาช่วยให้การถ่ายเซลฟี่มีความสนุกและได้ผลลัพธ์อันน่าประทับใจ แถมยังมีโหมด 3D Face Shaping ที่สามารถปรับแต่งการเซลฟี่ให้ยืดหยุ่นและตรงกับความต้องการของเราได้มากที่สุด เช่นปรับผิวนวลกระจ่างใส, ปรับโครงสร้างใบหน้า, ปรับให้ดวงตากลมโต, ริมฝีปากอิ่ม, จมูกเรียวโด่ง, คางเรียว เป็นต้น

AI Selfie HDR


AI Selfie HDR ประโยชน์ของโหมดนี้ก็คือ เมื่อเราถ่ายเซลฟี่ในสภาพแสงที่มีความเปรียบต่างมาก ๆ หรือเมื่อย้อนแสง รวมถึงในที่แสงน้อย ถ้าเปิด HDR จะช่วยในเรื่องการเกลี่ยสภาพแสงโดยรวมและดึงดีเทลของภาพให้กลับมามีความสมดุล
ตัวอย่างภาพทางซ้ายมือท้องฟ้าจะสว่างจ้าและรายละเอียดของพื้นหลังบางส่วนหายไป ภาพขวาเมื่อเปิด HDR แล้วจะมีการเกลี่ยแสงที่สมดุล อีกทั้งยังสามารถดึงรายละเอียดของแบ็คกราวด์กลับมาได้อย่างครบถ้วน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโหมดที่มีประโยชน์และใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันของเรา
สำหรับ AI Selfie HDR ค่าเริ่มต้นจะเปิดไว้ให้แล้ว
ทดสอบในโหมด Auto ที่ยังไม่ปรับแต่งใด ๆ
เมื่อเปิดใช้งาน AI Face Beauty ภาพที่ได้ดูสวยงามขึ้นแบบสัมผัสได้ เช่นสีของแก้มและลิปสติกเป็นต้น รวมไปถึงโครงสร้างของใบหน้าและสกินโทนที่ปรับแต่งให้มีความกระจ่างใสในแบบเป็นธรรมชาติ
สำหรับโหมด AI Face Beauty ตัวระบบ AI จะคำนวนความเหมาะสมให้เข้ากับใบหน้าของเราโดยอัตโนมัติ โดยภาพที่ถ่ายด้วยโหมด AI ค่อนข้างดูลงตัวเป็นธรรมชาติและใช้งานง่าย เพราะจะให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกันในทุกสถานการณ์
3D Face Shaping ผู้ใช้งานยังสามารถปรับแต่งในโหมดบิวตี้ได้อย่างยืดหยุ่น เช่นปรับให้ผิวขาวนวล ปรับสกินโทนของสีผิว ปรับให้ใบหน้าเรียวบาง, ปรับแต่งภาพรวมโครงสร้างใบหน้า, กราม, ปรับให้ดวงตากลมโต, ดวงตาเรียวยาว, ปรับแต่งรูปแบบของจมูกและริมฝีปากเป็นต้น ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยให้การถ่ายเซลฟี่เป็นเรื่องสนุก และให้ผลลัพธ์ที่ตรงใจแก่ผู้ใช้งานได้มากที่สุดนั่นเอง

Portrait light effect


กล้องหน้ามาพร้อม Filter และฟีเจอร์ Portrait light effect ที่ช่วยเสริมให้การถ่ายภาพบุคคลมีความน่าตื่นตาตื่นใจ โดยจะให้ฟิลลิ่งที่แปลกใหม่โดยไม่ต้องพึงพาอุปกรณ์เสริม ตัวอัลกอริทึม AI ของ Y19 จะปรับภาพใบหน้าสองมิติให้กลายเป็นสามมิติ และปรับแสงที่ใบหน้า ให้ภาพออกมามีความโดดเด่น ซึ่งเราสามารถเลือกเอฟเฟ็กต์ได้ทั้งแบบ  Natural light, Studio light, Stereo light, Loop light, Rainbow light, และ Monochrome background
Natural light
Studio light
Stereo light
Loop light
Rainbow light
Monochrome background

Pose Master


Vivo S1 Pro มาพร้อมฟีเจอร์ Posture ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่เปิดตัวครั้งแรกบน Vivo V17 Pro โดยฟีเจอร์นี้มีหลักการทำงาน ด้วยการแสดงตัวอย่างไกด์ไลน์ในการแอคติ้ง หรือการโพสท่าทางนั่นเอง โดยจะมีเส้นประแสดงควบคู่กับภาพแอคติ้งตัวอย่าง ซึ่งผู้ใช้งานเพียงแค่ให้แบบแสดงท่าทางตามตัวอย่างและจัดองค์ประกอบให้แบบเข้าไปอยู่ในเส้นประ เพียงเท่านี้เราก็จะได้ภาพถ่ายที่สวยโดนใจไม่แพ้การโพสท่าจากนางแบบ นายแบบมืออาชีพกันเลยทีเดียว
สำหรับฟีเจอร์ Posture รองรับการใช้งานทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังในโหมด Portrait 

AI Makeup


เป็นฟีเจอร์ “แต่งสวยหลังถ่ายเสร็จ”  โดย AI Makeup มีโหมดที่ช่วยเปลี่ยนการแต่งหน้าเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ซึ่งมีทั้ง Style ที่เป็นการแต่งหน้าสำเร็จรูปให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบ,
โหมดบิวตี้ ที่สามารถปรับแต่งการเซลฟี่ให้ยืดหยุ่นและตรงกับความต้องการของเราได้มากที่สุด เช่นปรับผิวนวลกระจ่างใส, ปรับโครงสร้างใบหน้า, ปรับให้ดวงตากลมโต, ริมฝีปากอิ่ม, จมูกเรียวโด่ง, คางเรียว เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถเติมเมคอัพเฉพาะส่วนได้ง่าย ๆ เช่นเติมสีลิปสติก บลัชออน และรูปแบบของคิ้ว
สุดท้ายคือฟีเจอร์ Slim ที่มีหลักการทำงานคล้าย ๆ กับ AI Body Shaping นั่นเอง โดยสามารถปรับแต่งรูปร่างให้ดูเพรียวบางสมส่วน เช่น ปรับในภาพรวมของรูปร่างหรือเฉพาะจุดที่ต้องการ เช่น ศีรษะ ไหล่ สะโพก ขา หรือเอวให้ดูเล็กลงได้เป็นต้น
 ทั้งนี้ AI Makeup สนับสนุนเฉพาะในอัลบั้ม โหมดกล้องไม่รองรับ
ภาพต้นฉบับ
ใช้งาน AI Makeup
ประโยชน์ของ AI Makeup จะช่วยให้การแต่งหน้าดูทันสมัยมากขึ้น และสวยงามที่สุดในสไตล์ที่เราชื่นชอบนั่นเอง

ทดสอบกล้องหลัง


กล้องหลัง AI Triple Camera ถ่ายสวยในทุกระยะ และมีฟีเจอร์เหมือนกล้องหน้าทุกประการ
เก็บทุกความประทับใจด้วยกล้องหลังความละเอียดสูงถึง 48 ล้านพิกเซล
รูปนี้ทดสอบด้วยการ Crop 100% ที่ 2000×1500 พิกเซล ตัวภาพก็ยังสามารถนำมาใช้งานได้ แต่หากเป็นกล้องที่มีความละเอียดต่ำ ก็จะสูญเสียรายละเอียดในภาพรวมออกไป จนไม่สามารถนำมาใช้งานได้เหมือนในภาพตัวอย่างนี้
และอีกหนึ่งประโยชน์ของกล้องที่มีความละเอียดสูง ก็คือสามารถต่อยอดนำภาพไปใช้งานได้ยืดหยุ่น เช่นนำไปอัดขยายได้ภาพที่มีขนาดใหญ่และยังคงความคมชัดไว้ได้นั่นเอง

ทดสอบกล้องหลังในระยะต่าง ๆ 


Normal
Zoom 2x
Ultra wide angle (มุมกว้างพิเศษ)
Normal mode
Ultra wide angle (มุมกว้างพิเศษ)
ในโหมด Ultra-Wide จะให้มุมมองกว้างเป็นพิเศษถึง 120 องศา ช่วยให้เก็บองค์ประกอบของภาพได้มากยิ่งขึ้นแม้ในพื้นที่จำกัด ทำให้สามารถถ่ายวิวทิวทัศน์ในมุมมองที่กว้างขึ้น ไม่ต้องถอยไกล  รวมถึงสามารถเก็บภาพถ่ายแบบหมู่คณะผองเพื่อนได้อย่างครบถ้วนไม่ตกหล่นอีกต่อไป
Normal mode 
Super macro
สามารถถ่ายภาพระยะใกล้ได้ถึง 4 ซม. ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดวัตถุชิ้นเล็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี เช่นภาพแมลง หรือวัตถุที่ต้องการเน้นความคมชัดและรายละเอียด ซึ่งเลนส์มาโครจะช่วยให้การถ่ายภาพนั้นสนุกและมีประโยชน์ในการใช้งานจริงของชีวิตประจำวันได้อย่างแน่นอน
Super macro
ทดสอบกล้องหลังในการถ่ายภาพบุคคล
ทดสอบกล้องหลังในสภาพแสง Indoor
ทดสอบกล้องหลังในสภาพแสง Outdoor
ทดสอบโหมด Portrait พร้อมเปิดใช้ AI Face Beauty
ทดสอบโหมด Bokeh effect ซึ่งการละลายฉากหลังทำได้ดีมาก โดยให้ความละมุนดูมีความเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังเก็บรายละเอียดของเส้นขอบได้ค่อนข้างดี
ทดสอบเปรียบเทียบภาพที่เปิดและปิดใช้งาน Bokeh effect
สำหรับกล้องหลังมี Portrait light effect มาให้ใช้งานเหมือนกล้องหน้า โดยประกอบไปด้วย Studio light, Stereo light, Loop light, Rainbow light, Monochrome background
จากนี้ไปรับชมภาพจาก Vivo S1 Pro ในสภาพแสงต่าง ๆ กันต่อครับ

สรุป Vivo S1 Pro

หากประทับใจกับ S1 มาก่อน เชื่อว่าจะตกหลุมรัก S1 Pro กันอย่างแน่นอน เพราะด้วยสเปคที่มีการอัพเกรด ทั้งชิปเซ็ตและ RAM 8GB จึงช่วยให้การใช้งานในภาพรวมดีขึ้นแบบสัมผัสได้จริง ซึ่งต้องบอกเลยว่า S1 Pro เป็นสมาร์ตโฟนระดับกลางราคาน่าคบ พร้อมตอบทุกโจทย์การใช้งาน แถมยังมีฟีเจอร์และฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกมาให้ผู้ใช้งานแบบอัดแน่น
ส่วนเรื่องดีไซน์ยังคงสืบถอด DNA ในเรื่องของความพรีเมี่ยม หรูหรา มีสไตล์ไม่ซ้ำแบบใคร สำหรับกล้องหน้า/หลัง นั้นไม่ทำให้ผิดหวัง ยังคงทำผลงานได้ดีตามมาตรฐานของทางค่าย อีกทั้งยังตอบโจทย์คนรักการถ่ายภาพด้วยกล้อง 4 เลนส์ที่ถ่ายสวยในทุกระยะ  ไม่ว่าจะเป็นเลนส์มุมกว้าง 120 องศาและมาโครที่ถ่ายได้ใกล้ 4 ซม.
เรียกว่าครบ จบในเครื่องเดียว แถมราคาเปิดตัวก็ยังสมเหตุสมผลอีกด้วย เอาเป็นว่าใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนดีไซน์สวย สเปคครบ ฟีเจอร์แน่น กล้องแจ่ม Vivo S1 Pro คือหนึ่งในตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามครับ
Vivo S1 Pro ราคา 9,999 บาท พร้อมเปิดให้จองล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 20 – 28 พฤศจิกายน 2562 ศกนี้ สามารถไปลงทะเบียนเพื่อจับจองเป็นเจ้าของกันได้ที่ Vivo Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ